ความหมายตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ปี พ.ศ. 2525 ให้ความหมายว่า
กระหนก หมายถึงลวดลาย แต่จะสะกดว่า กนก ก็ได้ด้วย
กนก หมายถึงทอง
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ทรงอธิบายใน สาส์นสมเด็จ ว่า กนกคงใช้เรียกตู้ลายทอง (ตู้ลายรดน้ำ) แล้วเข้าใจผิดไปว่า ลวดลายนั้นเป็น กนก
บ่อเกิดแห่งลายกนกไทย
ลายไทยมีบ่อเกิดมาจากธรรมชาติ ได้แก่
ดอกบัว
ดอกมะลิ
ดอกชัยพฤกษ์
ใบฝ้ายเทศ
ผักกูด
ตาอ้อย
เถาวัลย์
กาบไผ่
เปลวไฟ
กำเนิดของลายกระหนก และกระหนกสามตัว
ต้นแบบของลายกระหนก มาจากหางไหล ซึ่งเป็นลายที่มาจากลักษณะของเปลวไฟ
กระหนกสามตัวเป็นแม่ลาย ถือเป็นแม่แบบของกระหนกทั้งหลาย
ลายกนกสามตัว
กนกสามตัว หรือเรียกว่า กนกนาง “นาง เท่ากับ แม่” รวมความแล้วเท่ากับ แม่กนก กนกสามตัว คือ แม่บทของลายไทย ที่บรรจุ ก้าน เถา กาบใหญ่ กาบเล็ก กลีบเลี้ยง ตัวกนกและยอดกนกไว้อย่างครบถ้วน และยังรวมตัวกนกทุกชนิดทุกแบบเอาไว้ด้วย
รูปทรงของลายกนกสามตัว
อยู่ในรูปสามเหลี่ยมมุมฉากด้านไม่เท่า มีส่วนสูงยาวกว่าส่วนกว้าง หรืออยู่ในรูปทรงดอกบัวครึ่งซีก ในการเขียนรูปลายกระหนกสามตัว จะต้องเขียนตัวลายรวมกันสามส่วนและตัวลายแต่ละส่วนก็มีชื่อกำหนดไว้ คือ
1.ตัวเหงา เป็นลายที่อยู่ตอนล่างและอยู่ข้างหน้า มีโครงสร้างขมวดก้นหอยคว่ำหน้าลงปลายยอดตั้งขึ้น แสดงความรู้สึกเศร้า ๆ เหงา ๆ เป็นตัวรองรับกาบและตัวยอด นับเป็นลายตัวต้นและเป็นส่วนที่หนึ่ง
2.กาบ หรือ ตัวประกบหลัง เขียนประกบอยู่ข้างหลังตัวเหงา เป็นตัวลายที่จะส่งให้เกิดลายส่วนที่สามหรือเรียกตัวยอดนับเป็นลายส่วนที่สอง
3.ตัวยอด ลักษณะเป็นเปลวอยู่ยอดสุด มีลักษณะพิเศษกว่าตัวลายสองส่วนที่กล่าวมาคือ เขียนให้ปลายยอดสะบัดอ่อนไหวคล้ายเปลวไฟ ที่โคนเถาลายมีกาบหุ้ม
เมื่อเอาตัวลายทั้งสามส่วนมาประกอบรวมกัน จะเป็นลายกระหนกสามตัว [แก้ไข] ลายกนกเปลว
ลายกระหนกเปลว เป็นแม่ลายกระหนกอันดับที่ 2 ในขบวนแม่ลายทั้งสี่ ได้รับความบันดาลใจและประดิษฐ์ขึ้นมาจากยอดสะบัดของเปลวเพลิง จึงเรียกชื่อลายว่า “กระหนกเปลวเพลิง” ตามลักษณะของเปลวเพลิง เพื่อให้กะทัดรัดในการเรียกชื่อ จึงตัดคำว่า เพลิง ออกคงเหลือเพียงชื่อ “กระหนกเปลว”
รูปทรงของลายกนกเปลว
มีรูปทรงและส่วนประกอบตัวลายเหมือนลายกระหนกสามตัว แต่มีข้อแตกต่างกันคือ
1. ตัวเหงา เป็นลายที่อยู่ตอนล่างและอยู่ข้างหน้า ตัดจงอยโค้งขมวดก้นหอยออก เขียนลื่นไหลเป็นกาบล่างสำหรับรองรับกาบลายส่วนที่ 2 และ ตัวยอด ส่วนที่ 3
2.กาบ หรือ ตัวประกบหลัง เป็นลายส่วนที่ 2 เขียนประกบอยู่หลังตัวเหงา เป็นตัวลายที่จะส่งให้เกิดลายส่วนที่ 3 หรือเรียกตัวยอด รูปทรงโค้งขมวดก้นหอย บากลาย เหมือนกาบของลายกระหนกสามตัว
3.ตัวยอด ลักษณะเป็นเปลวอยู่ยอดสุด ตัดจงอยโค้งขมวดก้นหอยออก เขียนลื่นไหลไปหายอด สอดไส้ บากลาย ยอดสะบัด และเพิ่มกาบหุ้มที่โคนเถาลาย
กนกใบเทศ
ลายกนกใบเทศ เป็นแม่ลายกระหนกอันดับที่ 3 ในขบวนแม่ลายกนกทั้งสี่ ประดิษฐ์มาจากใบฝ้ายและเถาไม้ นำมาเขียนผูกเป็นลาย
รูปทรงของกนกใบเทศ
มีรูปทรงและการแบ่งตัวลายเหมือนกระหนกสามตัว การเพิ่มรายละเอียดหรือส่วนประกอบตัวลายใช้ใบเทศ และ ลายแข้งสิงห์ เกาะติดก้าน สอดไส้ บากลาย ปลายยอดใบเทศสะบัดพริ้วเหมือนปลายยอดลายกระหนกสามตัว
กนกหางโต
ลายกระหนกหางโต เป็นแม่ลายลำดับที่ ๔ ได้ความคิดประดิษฐ์ลายมาจากรูปทรงพู่หางสิงโต นำมาเขียนเป็นลายกระหนกในรูปทรงของกระหนกสามตัวเรียก ลายหางสิงโต เพื่อให้กะทัดรัดในการเรียกชื่อ จึงตัดคำว่า สิง ออกเรียกว่า ลายกนกหางโต และชื่อของลายนี้จะไปใกล้เคียงกับชื่อของ ลายช่อกระหนกหางโต ฉะนั้น เวลาเขียนลายแต่ละลายต้องจำว่า ลายกระหนกหางโต อยู่ในรูปทรงกระหนกสามตัวส่วนลายช่อกระหนกหางโตจะอยู่ในทรงพุ่มช่อ มีก้านต่อลงมา
รูปทรงของกระหนกหางโต
อยู่ในรูปทรงเดียวกับกนกใบเทศ ซึ่งมาจากรูปทรงกนกสามตัว แบ่งตัวลายออกเป็น 3 ส่วน ในแต่ละส่วนแบ่งออกเป็นก้านใช้ใบเทศติดที่ปลายก้านทั้ง 3 ส่วน และแบ่งเป็นลายแข้งสิงห์เกาะติดก้าน
ข้อแตกต่างระหว่างลายกระหนกหางโตกับลายกระหนกใบเทศ คือ ปลายก้านรูปทรงใบเทศในลายกระหนกหางโต จะเขียนเป็นกระหนกกลับตัว ปลายยอดสะบัดพริ้ว ส่วนลายกระหนกใบเทศ ปลายก้านทั้ง 3 ส่วนเป็นรูปทรงใบเทศ สอดไส้ บากลาย ปลายยอดสะบัดเช่นเดียวกัน
ประเภทของลายกนก
ลายกนกแบ่งเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ ดังนี้คือ
กนกเปลว
กนกใบเทศ
กนกผักกูด
กนกนารี
กนกหางหงส์
กนกลายนาค
กนกช่อลายต่าง ๆ
ลายกนกแบบล้านนา
ลวดลายแกะสลักไม้ที่นิยมกันในล้านนามีที่มาเช่นเดียวกับภาคกลาง คือ ส่วนใหญ่มาจากธรรมชาติ และจากพระพุทธศาสนา ลวดลายที่ลอกเลียนหรือประดิษฐ์จากธรรมชาติก็มีทั้งที่กับที่มีในภาคกลาง เช่น ลายกนก และลายเครือเถาชนิดต่าง ๆ และไม่มีในภาคกลางแต่ไม่มีในภาคเหนือ เช่น ครุฑ
ลายกนก กนกภาคกลางโดยเฉพาะรุ่นหลัง ๆ มักเป็นนกเปลว ละเอียดแน่น แต่กนกล้านนามักขดกลมแปลกตา เช่น กนกชิงหาง นกผักกูดก้านขดฝักมะขาม กนกหงอนไก่ กนกคาบทั้งชนิดขมวดหนึ่งหัวและขมวดสองหัว กนกล้านนามีหางตวัดอย่างเสรีมาก อาจตวัดโค้งงอนมาทางหัวที่ขมวดหรือตวัดไปในทิศทางตรงกันข้ามก็ได้ แล้วแต่ความกลมกลืนของตัวลาย
ลายเครือเถา รวมลายก้นขด ลายกาบหมาก และลายผักกูดไว้ด้วยกัน ลายชนิดนี้อาจมีดอกหรือไม่มีดอกเลย เน้นที่ก้านและใบ
ลายดอกไม้ ใบไม้ เป็นดอกไม้ที่มีก้านและใบประกอบกัน มีลักษณะเป็นธรรมชาติ มักไม่มีลักษณะกนกปน มีทั้งที่คล้ายแบบภาคกลางและลักษระเฉพาะของล้านนา ส่วนมากเป็นดอกบาน มีดอกตูมน้อยกว่า
ลายดอกไม้ที่คล้ายภาคกลาง คือ ลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ดอกพุดตาน ดอกประจำยาม และดอกจันทน์ ส่วนลายที่มีเอกลักษณืของล้านนา คือ ดอกทานตะวัน ดอกเรณู และดอกสับปะรด (ดอกตาขนัด) ซึ่งเป็นรูปสับปะรดทั้งลูกแล้วมีใบ
ลายเมฆและลายเมฆไหล เป็นลายไม้เฉพาะของล้านนา ได้รับอิทธิพลจีน มีในการตกแตงปูนปั้นบ้าง แต่น้อยมาก มีความหมายถึงการอยู่เย็นเป็นสุข ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล และความอุดมสมบูรณ์ ลายเมฆไหลสมัยก่อนไม่มีกนกปน สมัยหลัง ๆ มีปะปนกับลายอื่น ๆ แทบทุกลาย
ลายจากคติต่าง ๆ มีทั้งคติตามความเชื่อในพระพุทธศาสนา และคติตามความเชื่ออื่น ๆ
ลายสัตว์ ล้านนานิยมทำลายรูปสัตว์มาก โดยเฉพาะสัตว์ตามปีเกิด ปีกุนของล้านนาเป็นรูปช้าง ไม่ใช่หมูเหมือนที่อื่น เนื่องจากล้านนาไม่นับถือหมู
นอกจากสัตว์ตามปีเกิดแล้ว สัตว์อื่น ๆ ที่นิยมก็มีสิงห์ซึ่งเป็นอิทธิพลของพม่า สัตว์ที่นิยมเป็นพิเศษที่ล้านนาคือนาค นาคเป็นสัตว์ที่มีบทบาทสูงตามคติอินเดีย พุทธศาสนาก็มีอิทธิพลเกี่ยวกับนาค แต่นาคในพุทธศาสนาน่ากลัวน้อยกว่านาคอินเดีย รูปนาคมีปรากฎในศิลปกรรมแทบทุกชนิดที่ล้านนา ตามราวบันไดพุทธสถานที่สำคัญแทบทุกแห่งก็เป็นรูปตัวนาค บางแห่งรูปนาคที่ราวบันไดนี่จะเลื้อยยาวทอดหางขึ้นไปตามขอบประตูจนจรดกันเป็นยอดแหลมที่ซุ้มประตู สัตตภัณฑ์ซึ่งเป็นพุทธศิลป์ที่เด่นมาก อย่างหนึ่งของล้านนาก็นิยมทำลายนาค นาคบางตัวก็พันกันแน่นหนาราวกับเส้นเชือกถัก คันหวยหูช้างก็เช่นกัน มักมีรูปนาคทั้งที่ขดตัวแน่นอยู่ตามลำพังและที่ประกอบลายกับดอกไม้ชนิดต่าง ๆ
ลายอื่น ๆ นอกจากลายหลักทั้งหมดดังกล่าวแล้ว ยังมีลายอื่น ๆ อีก เช่น ลายซุ้มที่พบได้ตามซุ้มประตูเก่า ๆ ลายอิทธิพลอื่น ๆ เช่น ลายเคนือเถาฝรั่ง ลายประแจจีนอิทธิพลจีน ลายพม่า และลายไทใหญ่ ฯลฯ
ลวดลายกนกในกาเเล
กาแล คือชื่อส่วนประดับอยู่บนหลังคาเรือน มีลักษณะเป็นไม้แบบเหลี่ยมแกะสลักให้มีลวดลายเป็นส่วนที่ต่อจากปลายบนของปั้นลมเหนือจั่วและอกไก่โดยติดในาลักษณะไขว้กันมีขนาดยาวประมาณ 70– 100เซนติเมตร ความหนาประมาณ2 – 3เซนติเมตรและกว้างประมาณ15 – 20เซนติเมตร เนื่องจากที่กาแลมีการแกะสลักลวดลายอย่างสวยงาม เป็นการตกแต่งให้เรือนกาแลงดงามยิ่งขี้น ดังนั้นจึ่งมีการยึดเอากาแลเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ และเป็นสัญลักษณ์ประจำถิ่นล้านนา ความงานของกาแลอยู่ที่ลวดลายการและสลักรูปทรงฝีมือการแกะสลักไม้ของทางเหนือ ประกอบกับการที่มีลวดลายบางชนิดเป็นลวดลายเฉพาะท้องถิ่น ทำให้เกิดความงามที่ไม่เหมือนกับที่อื่นลักษณ์ของกาแลอาจจำแนกได้ดังนี้
ลวดลายแกะสลัก
กาแลทุกชนิดที่พบที่การแกะสลักเป็นลวดลายมีความงดงามต่างๆกันไป ลักษณะลวดลายอาจแบ่งได้ 3 ชนิดคือ
1. ลายกนกสามตัวซึ่งเป็นต้นแบบของลายไทยสามารถผูกเป็นลวดลายแยบยลต่างๆ ให้ละเอียดมากน้อยได้ลวดลาย เริ่มที่โคนของกาแลประกอบด้วยโคนช่อกนก ซึ่งมีกาบหุ้มก้านซ้อนกันหลายๆชั้น คล้ายก้านของไม้เถาที่ผุดออกมาตามธรรมชาติ จากนั้นก้านกนกก็แตกออกเป็นช่อตามระบบกนกสามตัว ซึ่งสลับหัวกันคนละข้างจนถึงยอดกนก หรือยอดกาแลกาบก้านก็สะบัดโค้งและเรียวแหลมที่สุดยอด ลายกนกนั้นมีข้อปลีกย่อยต่างจากลายของภาคกลางบ้าง เช่น การขมวดหัวมีมาก ขมวดกลมเป็นก้นห้อยแต่ไม่นูนแหลมนัก ใช้หัวใหญ่กว่า การสะบัดหางกนกสั้นกว่าแต่โค้งงอมาก และลักษณะทั่วๆไปกนกตัวใหญ่กว่าของภาคกลาง ก้านกนกดูซ้อนกันหลายชั้นส่วนเป็นเพราะมีกาบหุ้มก้านมาก หัวกนกของกาบที่ขมวดจับก้านมีขนาดใหญ่ม้วนกลมมากนับก้านลึกและหัวกนกงอมาก เนื่องจากกาแลถูกแดดฝนทำให้ลวดลายลบเลือนตามเวลาที่ผ่านไป จนบางอันลบเลือนมาก จนบอกลายละเอียดได้ยาก
2. ลายเถาไม้หรือลายเครือเถา เป็นลวดลายซึ่งมีรูปแบบของลายกนกอยู่บ้าง แต่มีลักษณะคล้ายเถาไม้ หรือช่อกิ่งและใบไม้ที่เกาะกันช่อปลายขมวด ลายเริ่มที่โคนกาแลเหมือนกัน ประกอบด้วยก้านและกาบหุ้มก้าน ลายส่วนใหญ่ประกอบด้วยก้านซึ่งมีกาบหุ้มหลายชั้น ส่วนนอกของกาบเมื่อใก้ลยอดจะกลายเป็นใบ ซึ่งปลายของใบขมวดเหมือนลายผักกูด การโค้งงอของช่อใบสลับกันคนละข้าง จนถึงยอดช่อซึ่งสะบัดโค้งงออย่างสวยงาม สำหรับกาแลที่ใช้ลวดลายชนิดนี้พบมีทั้งที่แกะสลัก และฉลุโดยทั่วไปลาประเภทนี้ว่าเป็นลายเรียบง่ายเข้าลักษณะศิลปะพื้นบ้าน
3. ลายเมฆไหล ลายเมฆไหลเป็นลักษณะลายชนิดหนึ่งของล้านนา เป็นลวดลายซึ่งคงเป็นจินตนาการของศิลปินที่มีต่อเมฆ ลายเมฆไหลที่นำมาใช้สำหรับกาแลไม่ค่อยเหมือนลายเมฆไหลที่ใช้สำหรับส่วนอื่น คือมีองค์ประกอบของลายกนกหรือลายเครือเถาอยู่ ประกอบด้วยก้านกนกเป็นกาบหลายชั้นและแตกเป็นก้านและช่อตามระบบกนกสามตัวเช่นกัน แต่ตัวกนกแต่ละตัวมีลักษณะเหมือนลายเมฆ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ รูปแบบลายผูกเป็นเถาแต่ตัวกนกเป็นลักษณะลายเมฆ ลักษณะเมฆไหลนี้กล่าวโดยย่อคือ ลายประกอบตัวก้านลายที่ขดหยักเหมือนไหลไปมาและตวัดวกกลับอย่างเฉียบพลันตรงบริเวณที่ตวัดกลับจะเป็นหัวขมวดม้วนกลม ได้ลักษณะหัวขมวด แต่แตกก้านออกเป็นสองก้านซึ่งวิ่งแยกจากกันคนละทิศ ( ดูเพิ่มที่ ตอนกล่าวถึงลวดลายการแกะสลักของ หัมยนต์ ) ที่จริงแล้วลายเมฆไหลของกาแลดูคล้ายลายกนกสามตัวหรือลายเครือเถา
ความเเตกต่างของลายกนกของภาคเหนือเเละภาคกลาง
เนื่องจากลายกนกล้านนามีลักษณะพิเศษไม่เหมือนกับของภาคกลางเสียทีเดียว แม้ว่าบางรูปแบบจะคล้ายกันก็ตาม จึงเห็นสมควรกล่าวถึงกนกล้านนาที่ต่างจากของภาคกลางไว้ ดังนี้
1. กนกหงอนไก่ ตัวกระหนกที่ต่อกับก้านมีลักษณะเชิด หัวโตและหางโค้งงอนเหมือนหงอนไก่
2. กนกเหงาสามตัวหางรวน มีรูปแบบเป็นกระหนกเหงาสามตัวของภาคกลาง แต่หัวม้วนขอด หางโค้งงอน
3. กนกชิงหาง เป็นกระหนกที่เรียบง่าย ตัวผอมจับคู่สลับหัว-หางกัน
4. กนกผักกูด ก้านขดฝักมะขามเทศโดยมีหัวขดเป็นหยักๆ สลับกับกระหนกหัวขอด หางตวัดโค้งงอนมาก
5. กนกคาบ ซึ่งเป็นกระหนกจับตัวก้านมีลักษณะหัวขอด ปลายหางตวัดโค้ง มี 2 ชนิด คือ หัวหนึ่งขมวดและสองขมวด
6. กนกชนิดที่มีหัวขอดกลมโตเป็นก้นหอย ส่วนปลายโค้งงอนมาก
ที่มา http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B8%81